description |
---|
🤔 คอมมันหารเลขยังไงหว่า ? |
จากบทความ 👾 Algorithm Big-O น่าจะทำให้เหล่าแมวน้ำหลายคนตาสว่างขึ้นว่า การเขียนโค้ดสั้นๆไม่ได้หมายความว่ามันจะเร็วกว่าโค้ดยาวๆเสมอไป เพราะมันวัดกันที่จำนวน Execution ต่างหาก ดังนั้นในรอบนี้เราจะมาต่อกันให้จบพื้นฐานว่า Algorithm มันลากยาวไปจนถึงเรื่องการทำ Security ได้ยังไง และ หัวใจของ Algorithm คืออะไร ?
{% hint style="success" %}
แนะนำให้อ่าน
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความ 👶 Data Structure & Algorithm หากเพื่อนๆสนใจอยากรู้ว่าเจ้า Algorithm มันคืออะไร คุ้มค่าเวลาชีวิตที่เราจะอ่านไหม ก็สามารถศึกษาได้จากบทความหลักได้เลยโดยการคลิกที่ชื่อบทความสีฟ้าๆนั่นแหละ
{% endhint %}
รอบนี้เรามาลองหารเลขดูบ้าง โดยแมวน้ำมีคำถามว่า
ถ้าเราจะหารเลข 2 ตัว เรามีวิธีคิดแบบไหนได้บ้าง ?
ตัวอย่าง 12 / 2 เราคิดยังไงให้ได้ผลลัพท์เป็น 6
จากโจทย์ด้านบน เราก็อาจจะคิดง่ายๆโดยการ ลบซ้ำไปเรื่อยๆ เช่น เราก็จะเอา 12 มาลบกัน 2 ไปเรื่อยๆจนกว่าจะลบไม่ได้ แล้วนับเอาว่าลบได้กี่ครั้ง ซึ่งก็จะได้ผลลัพท์เป็น 6 ตามด้านล่างนั่นเอง
(ครั้งที่ 1) 12 - 2 = 10
(ครั้งที่ 2) 10 - 2 = 8
(ครั้งที่ 3) 8 - 2 = 6
(ครั้งที่ 4) 6 - 2 = 4
(ครั้งที่ 5) 4 - 2 = 2
(ครั้งที่ 6) ****2 - 2 = 0
ทำต่อไม่ได้ละ ดังนั้นตอบ 6 ยังไงล่ะจ๊ะ
เหมือนจะไม่มีไรเรยชิมิ? แต่เคยสงสัยไหมว่า คอมมันหารเลขยังไงหว่า 🤔 ??
ต่อให้เราเขียนโค้ดในระดับ Machine Language อย่าง Assembly สุดท้ายเรารู้อ่ะป่าวว่ามันไปทำงานยังไง?
หัวข้อนี้กึ่งๆเป็นเกร็ดความรู้ เบื่อก็อ่านข้ามได้ แต่มันคือพื้นฐานการคำนวณของคอมพิวเตอร์เบย
จากเรื่องง่ายๆที่คนทำได้สบายๆ เชื่อไหมว่าคอมมันทำงานวุ่นวายกว่านั้นเยอะ เพราะ คอมมันทำงานกับตัวเลขฐานสอง หรือ binary (0/1) นั่นเอง ดังนั้นการคำนวณที่แท้จริงมันจะใช้พวก Logic gate ต่างๆ ( AND, OR, NOT บลาๆ) เช่นเราจะสั่งให้ A + B มันก็จะต้องเอา 2 ค่านี้ไปเข้าวงจร เพื่อให้มันได้ผลลัพท์ออกมาตามรูปด้านล่าง
อย่าพึ่งปิดหนีนะ 😭 แมวน้ำไม่ได้จะลงลึกของพวกนี้หรอก แต่อยากให้เข้าใจแนวคิดพื้นฐานก่อน แล้วจะถึงบางอ้อว่า หัวใจ Algorithm คืออะไรโดยไม่ต้องมานั่งจำอะไรเลย
ทีนี้เหล่าแมวน้ำก็รู้แล้วนะว่า คอมมันใช้วงจรไฟฟ้าคิดเลข ดังนั้นเครื่องคอมเลยมีแต่วงจรยั้วเยี๊ยไปหมดงุยล่ะ และถ้าเราอยากให้มันเก่งขึ้น เราก็จะเพิ่มวงจรให้เยอะขึ้น แต่สิ่งที่แลกมาก็คือ มันจะร้อนขึ้น + กินไฟมากขึ้น + กินพื้นที่ใส่วงจรมากขึ้น นั่นเอง
{% hint style="info" %}
เกร็ดความรู้
จากปัญหาความร้อน กินไฟบลาๆ ซึ่งแน่นอนว่าพวกวิศวะก็รู้เรื่องเหล่านี้ดี เขาเลยแบ่งตัวประมวลผล หรือ Microprocessor ออกเป็น 2 ตระกูล
- (CISC) Complex Instruction Set Computer - มีวงจรค่อนข้างเยอะ
- (RISC) Reduced Instruction Set Computer - มีวงจรไม่เยอะ
แม้ว่า RISC จะมีวงจรที่น้อยกว่า แต่มันก็สามารถทำงานต่างๆได้แบบที่ CISC ทำนะ เพียงแต่มันต้องนำวงจรที่มันมี ไปใช้ต่อๆกันหลายๆรอบถึงจะได้คำตอบ ซึ่งข้อดีของ RISC ก็คือ มันจะใช้ไฟน้อยกว่า ดังนั้นเขาเลยนิยมใช้ตัวประมวลผลแบบ RISC เอาไปทำเป็นอุปกรณ์พกพายังไงล่ะ หรือชื่อหนึ่งที่เรามักจะคุ้นเคยนั่นก็คือ สถาปัตยกรรมเออาร์เอ็ม (ARM architecture) งุย {% endhint %}
การหารเลขของคอมพิวเตอร์มันมีปัญหาหลายเรื่อง ซึ่งแมวน้ำขอไม่พูดถึง แต่ที่แน่ๆคือ การหารเลขมันเสียเวลาเยอะม๊วกกก (กอไก่ล้านตัว) แต่คำตอบถูกพิสูจน์ได้เร็วมาก อ่านแล้วอาจจะ งงๆ ไปดูตัวอย่างด้านล่างดีก่า
จงหาคำตอบว่า 390 / 13 ได้เท่าไหร่เอ่ย ?
จากโจทย์ด้านบนถ้าให้คอมพิวเตอร์ไปหาคำตอบ มันจะใช้เวลานาน (ในเชิงคอมพิวเตอร์) แต่ถ้าเราบอกมันว่า ผลลัพท์คือ 30 เข้าไปปุ๊ป คอมมันจะตอบได้ทันทีเลยว่าคำตอบนั้นถูกหรือผิดภายในเวลาไม่นานนั่นเอง
เพราะมันแค่นำ 13 x 30 ก็จะได้คำตอบเป็น 390 ดังนั้นคำตอบถูกต้องแน่นวล
แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าจะให้คอมไปหาคำตอบว่า 390 / 13 ได้เท่าไหร่ล่ะก็ (คิดแบบคนเข้าใจง่ายๆนะ) ถ้าเอาแบบเด็กสุดก็นั่งท่องสูตรคูณแม่ 13 ตามด้านล่างเลยครัช
13 x 1 = 13
13 x 2 = 26
13 x 3 = 39
...
13 x 30 = 390 ! ได้คำตอบแล้วเฟร้ยยยย น้ำตาจิไหล
{% hint style="info" %}
เกร็ดความรู้
คอมเวลาที่มันต้องหารเลขจริงๆ มันมีสิ่งที่เรียกว่า Lookup table หรือพูดแบบบ้านๆคือมันมี ตารางแม่สูตรคูณ นั่นแหละ เวลามีคนถามอะไรไป มันก็ไปหาจากตารางแม่สูตรคูณแล้วก็เอามาตอบ ก็จะไม่เสียเวลามากงุยล่ะ (มันไม่ได้ทำแบบนี้เสมอไปนะ แมวน้ำจำไม่ได้ส่งคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว ใครรู้เมนต์บอกด้วยกะดี)
{% endhint %}
ก็น่าจะพอเห็นภาพแล้วนะว่า ถ้าต้องการหาคำตอบซักอย่างมันจะมีแบบ ใช้เวลาสั้นๆก็ได้คำตอบ และ ใช้เวลาเยอะๆถึงได้คำตอบ เราก็จะแบ่งระดับความซับซ้อนได้ง่ายๆ เป็น 2 แบบคือ
- ****(P) Polynomial - ไม่ซับซ้อนมาก ใช้เวลาสั้นๆ
- (NP) Nondeterministic Polynomial - ซับซ้อนม๊วก ใช้เวลานานม๊วก
{% hint style="info" %}
เกร็ดความรู้
ถ้าในใจอยากรู้ลึกๆในเรื่องการคำนวณของพวกนี้ สามารถเข้าไปอ่านต่อได้ในเรื่องของ Time complexity ซึ่งระเอียดยิบเลย เช่น Zero-error Probabilistic Polynomial (ZPP) , Randomized Polynomial (RP), Bounded-error Probabilistic Polynomial (BPP), Bounded-error Quantum Polynomial (BQP) เผื่อใครอยากไปดูปัญหาของควอนตัมไรงี้
{% endhint %}
จากที่เกริ่นมายาวเหยียดก็ได้เวลาเข้าสู่ประเด็นที่แมวน้ำจะพูดละ นั่นคือ . . .
นั่นหมายความว่าการคำนวณบางอย่างถ้า ทำแบบโง่ๆมันก็จะช้า แต่ถ้าเราคิดวิธี ทำแบบฉลาดๆมันก็จะเร็ว เช่นโจทย์ ป.6 ด้านล่าง
เลข 100 เป็นจำนวนเฉพาะหรือเปล่า? (Prim number)
(จำนวนเฉพาะคือ เลขที่ไม่มีใครสามารถหารมันได้ลงตัว ยกเว้น 1 กับตัวมันเอง เช่น 7 เป็นจำนวนเฉพาะ เพราะมีแค่เลข 1 กับ 7 เท่านั้นที่หารมันลงตัว)
Algorithm 1.ทำแบบไม่ได้คิดอะไรมาก เราก็จะเอาเลขทั้งหมด 2, 3, 4, ... 99 ไปหารมันแล้วดูว่ามีตัวไหนหารมันได้หรือเปล่า ดังนั้นวิธีนี้แบบเลวร้ายสุดเราก็จะต้องจับหารไปเรื่อยๆ 98 ครั้ง (N-2) ดังนั้นก็ค่อนข้างช้าอยู่
Algorithm 2.ตัดเลขที่ไม่จำเป็นออก ถ้าเราคิดต่อจากวิธีแรกดีๆเราก็จะรู้ว่า เลขคู่ ไม่จำเป็นต้องนำไปหารก็ได้ เพราะเลข 2 สามารถหารเลขคู่ได้ทุกตัว ดังนั้นเราก็เอา 2, 3, 5, 7, 9, ... 99 ไปหารก็จะได้คำตอบเหมือนกัน ดังนั้นวิธีนี้จะเร็วกว่าวิธีแรกเท่าตัว เพราะมันทำแค่ 50 ครั้ง (N/2)
Algorithm 3.ตัดเลขที่ไม่มีทางหารมันได้ลงตัวออก สุดท้ายถ้าเราเพ่งกสิณก็จะค้นพบว่า ถ้าเลขเกินช่วงนึงไปแล้วมันจะไม่มีทางเอาไปหารลงตัวได้เลย เช่นถ้าเกิน 50 ไปแล้วก็ไม่มีทางหาร 100 ลงตัวแน่ๆ ซึ่งจุดที่เอาไว้บอกว่าควระหยุดเมื่อไหร่นั่นก็คือ √N (รูท 2 ของ N) นั่นเอง ดังนั้นเราก็จะเอา 2, 3, 5, 7, 9 ไปหารก็พอ ซึ่งมันก็จะทำแค่ 5 ครั้งเท่านั้น
จากตัวอย่าง Algorithm ทั้ง 3 แบบเราก็จะพบว่า เรื่องการหาจำนวนเฉพาะ เราจะทำแบบ P หรือแบบ NP ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเราคิดวิธีการคำนวณออกหรือเปล่าเท่านั้นเอง
หมายความว่าโจทย์บางอย่าง เราไม่มีวิธีลัด ต้องค่อยๆทำไปเรื่อยๆเท่านั้นถึงจะได้คำตอบ แต่ในบางทีเราก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าคำตอบนั้นถูกหรือไม่ด้วยการใช้ P ได้ เช่น ตัวอย่างการหารเลขด้านบน หรือ การทำ Digital Signature เราต้องใช้ขั้นตอนในการสร้างนาน แต่เราสามารถพิสูจน์ได้ง่ายๆว่าคนที่ sign key นั้นมี key จริงๆหรือเปล่านั่นเอง
{% hint style="success" %}
แนะนำให้อ่าน
สำหรับเพื่อนๆที่สนใจอยากเข้าใจเรื่อง Digital Signature สามารถไปอ่านต่อกันได้ที่บทความในลิงค์นี้เลยฮั๊ฟ 👦 Security พื้นฐาน****
{% endhint %}
เป็นสิ่งที่เขาเชื่อกันว่า Algorithm บางอย่าง ไม่มีทางที่เราจะลดรูปความซับซ้อน หรือ หาวิธีลัดใดๆได้เลย ดังนั้นถ้าใครจะแก้ Algorithm ประเภทนี้จะต้องนั่งถึกตะบี้ตะบันทำไปเรื่อยๆจนได้คำตอบนั่นเอง
{% hint style="info" %}
เกร็ดความรู้
อย่างที่บอกไปว่า NP-completeness เป็นแค่สิ่งที่อยู่ในทฤษฎีเท่านั้น ยังไม่มีคนสามารถพิสูจน์ได้ว่ามันมีของแบบนี้อยู่จริงหรือไม่ แต่ว่าหัวใจหลักของการทำ Security คือการทำสมการให้เป็น NP-completeness ตัวนี้แหละ เพราะเหล่าแฮกเกอร์จะต้องใช้เวลาในการถอดรหัสนานมากนั่นเอง ดังนั้นถ้ามีใครสักคนไปพิสูจน์ได้ว่า NP-completeness ไม่มีอยู่จริง มันจะทำให้ Security ทั่วโลกพัง เพราะมันหมายความว่า Algorithm ที่เราเชื่อว่ามันถอดรหัสยาก จริงๆแล้วไม่ได้ยากแบบนั้น แค่ยังไม่มีคนหารูปแบบการถอดรหัสที่อยู่ในรูปของ P เจอเท่านั้นเอง
{% endhint %}
Algorithm คือบนโลกนี้แบ่งง่ายๆเป็น 2 อย่าง (P) แก้ได้เร็ว กับ (NP) แก้ได้ช้า ดังนั้นเวลาที่เราจะเลือกใช้ Algorithm อะไรก็ตาม เราอาจจะต้องดูความยากง่ายในการแก้ไขปัญหาของมันด้วย
และในทางตรงข้ามของที่แก้ได้ช้า NP ในบางทีก็สามารถพิสูจน์คำตอบได้แบบ P เร็วเช่นกัน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องนั่งถึกทำกระบวนการเดิมซ้ำเพื่อตรวจคำตอบแบบ NP ก็ได้